ที่เที่ยวใน อุซเบกิสถาน ประวัติเป็นอย่างไร?
ที่เที่ยวใน อุซเบกิสถาน มีชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ตั้งอยู่ในเอเชียกลาง ที่มีพรมแดนประเทศปิดกั้น ไม่มีทางออกทะเล พรมแดนที่ใกล้กับประเทศอื่นได้แก่ คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และเติร์กเมนิสถาน ในอดีตนั้นดินแดนอุซเบกิสถานนั้น เป็นเส้นทางเดินทัพของ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ที่ได้ขยายดินแดนมาทาง เอเชียกลางไปจนถึงปากีสถานเลยทีเดียว จากเส้นทางอันยาวไกลนี้เอง ทำให้ดินแดนแห่งนี้ได้รับ มรดกจากอารยธรรมมาซีโดเนี่ยน
อันเป็นอาณาจักรกรีกแห่งหนึ่ง ที่แพร่อารยธรรมกรีกไปทั่วทั้งเอเชียนั้นเอง หลังจากยึดครองอาณาจักรเปอร์เซียได้ลง ระยะเวลาผ่านไปจนเข้าสู่ ศตวรรษที่ 6 ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกรวมเข้ากับ อาณาจักรเปอร์เซียอีกครั้ง ก่อนที่จะถูกกองทัพมองโกลเลียบุกยึดครองในปี ค.ศ. 1220 อันเป็นกองทัพม้าอันเกรียงไกร
ภายใต้ผู้นำอย่าง เจงกิส ข่าน ที่รวบรวมชนเผ่าเร่ร่อนต่างๆ ทางตอนเหนือของจีนบุกฝ่าไปทางตะวันตก จนไปถึงยุโรปกันเลยทีเดียว ด้วยความแข็งแกร่งของทหารม้า มองโกลได้เอาชนะเมืองทุกเมือง รวมถึงอาณาจักรต่างๆในรัสเซียด้วยเช่นกัน ทำให้สามารถบุกไปถึงโปแลนด์กันเลยทีเดียว แต่ทว่าผู้นำอย่างเจงกิส ข่าน มาหมดอายุขัยเสียก่อน
จึงทำให้ต้องนำทัพกลับ ทำให้ชาวยุโรปต่างรอดจากการ รุกรานของชาวมองโกล ที่ขึ้นชื่อว่ามีความโหดเหี้ยมและมีความสามารถ บนหลังม้าเป็นอย่างมากด้วยนั้นเอง ภายหลังยุคของกองทัพมองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจลง ในศตวรรษที่ 13 นี้เองได้เกิดขุนศึกที่ชื่อ ติเมอร์ ลุกขึ้นฮือ และมีอำนาจเหนือมองโกล จากนั้นได้เกิดเป็นอาณาจักร
ที่เมืองซามาร์คันด์ อันเป็นสัญลักษณ์ต้นกำเนิดของชาติ อุซเบกิสถานนั้นเอง จากนั้นในเวลาต่อมา จักรวรรดิรัสเซียได้แผ่ขยายอำนาจมายังเอเชียกลาง และได้ผนวกดินแดนแห่งนี้ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย จนกระทั่งมาถึงยุคสหภาพโซเวียต ประเทศนี้จึงได้รับอิทธิพลของ
ระบบการปกครองในช่วงเวลาดั่งกล่าว ต่อมาหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในวันที่ 31 สิงหาคม 1991 และทำให้อุซเบกิสถาน เริ่มแยกตัวออกมาเป็นประเทศของตัวเอง และมีรัฐธรรมนูธฉบับแรกในปี 1993 ทำให้อุซเบกิสถานมีระบอบการปกครอง แบบสาธารณรัฐประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและ นายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหารนั้นเอง
ที่เที่ยวใน อุซเบกิสถาน มีความสำคัญอย่างไร?
ในอดีตนั้นดินแดนแห่งนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางการค้า และการเดินทัพที่เก่าแก่ จากโลกตะวันตกไปตะวันออก หรือจากตะวันออกมายังตะวันตก ในดินแดนอันกว้างขว้างของทะเลทราย ทำให้ดินแดนแห่งนี้นับว่าเป็น รอยต่อของการเดินทางข้ามทวีปในอดีตนั้นเอง นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเปอร์เซีย
ที่เคยยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากในโลกโบราณ จึงทำให้หลงเหลือร่องรอยอารยธรรม ที่เก่าแก่และสื่อให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของชาติที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะโดยรอบนั้นเอง อาณาจักรต่างๆเริ่มมาจากชนเผ่า ที่เร่ร่อนอยู่ในดินแดนเอเชียกลาง ไปจนถึงเอเชียใต้นั้นเอง เผ่าต่างๆที่อาศัยรวมกันกระจัดกระจาย
อีกทั้งบ้างกลุ่มเองยังถือว่า เป็นลูกหลายของเจงกิส ข่าน ที่ครั้งหนึ่งอาณาจักรมองโกล ได้มีอิทธิพลในดินแดนเอเชียกลางนั้นเอง ไปจนถึงยุโรปเลยทีเดียว อันเป็นการตั้งรกรากอันยาวนาน ของชาวมองโกลและคนท้องถิ่น จนเกิดเป็นการผสมผสาน เชื้อสายต่างๆ จนมาถึงปัจจุบันนั้นเอง อย่างชาวอุซเบกิสถานนี้เอง
ที่ถือว่าในอดีตเป็นเพียงแค่ชนเผ่าเร่ร่อน จนเกิดการรวมกันเป็นชุมชน และเกิดขึ้นมาเป็นเมืองในเวลาต่อมา ทำให้ดินแดนในอุซเบกิสถาน มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์อยู่มากมาย กระจายอยู่เต็มประเทศ และเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาตินี้ มีรากเง้าและทีมาของตัวเอง อันเป็นการบ่งบอกตัวตนในอดีต รวมถึงระบบเศรษฐกิจที่มีคู่ค้า ทางเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน กับโลกตะวันออกมุสลิมนั้นเอง
อุซเบกิสถานสถานที่ท่องเที่ยวเป็นอย่างไร?
นับว่าเป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีศิลปวัฒนธรรมที่มีความสวยงาม และเอกลักษณ์เฉพาะของอุซเบกิสถานเลยทีเดียว อันเป็นจุดเด่นของการท่องเที่ยวอุซเบกิสถาน ที่เปิดประเทศเผยแผ่วัฒนธรรม ให้ทั่วโลกได้รู้จักประเทศแห่งนี้มากขึ้น นอกจากนี้ประเทศยังมีสภาพอากาศ เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในแถบนี้ที่มีอากาศอบอุ่นและหนาว จนถึงขั้นหิมะตกเลยทีเดียวช่วงสิ้นปี ด้วยประเทศที่มีส่วนพรมแดน คาบเกี่ยวกับยุโรปและเอเชีย จึงทำให้ที่นี้มีวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันนั้นเอง สถานที่แรกคือ กรุงทาชเคนท์ ( Tashkent )
เมืองหลวงของประเทศอุซเบกิสถาน เมืองแห่งนี้มีความน่าสนใจ ในด้านสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิต ของผู้คนในเมืองที่มีกิจวัตรประจำวัน ภายใต้กฎศาสนาของชาติ ที่ยึดถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาตินั้นเอง สิ่งก่อสร้างภายในเมือง แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ที่มีหลังคาเป็นโดมกันซะส่วนใหญ่นั้นเอง
สถานที่คนมักพลุกพลานอย่าง Chorsu Bazaar หรือ ตลาดชอร์ชู ตลาดอันเป็นวิถีชีวิตของ ผู้คนในทาชเคนท์ที่รูปลักษณ์ คล้ายกับคนรัสเซียก็เพราะ ด้วยในอดีตประเทศเคยเป็น ส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่อาหารการกินรวมถึงวัตถุดิบ ภายในตลาดนั้นค่อนข้างจะเอเชียอย่างมาก ด้วยอาหารการกินอย่าง มะหมี่
หรือ ข้าว ที่ถือว่าเป็นอาหารหลัก แบบคนเอเชียเลยทีเดียว สถานที่ต่อไป เมืองซามาร์คันด์ ( Samarkand ) เป็นเมืองที่แสดงออกถึงสองวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน ระหว่างวัฒนธรรมมุสลิมและเอเชียตะวันออก ทำให้เมืองแห่งนี้มีสถาปัตยกรรม ที่มีความน่าสนใจและเป็นอีกไฮไลท์ ของการเดินทางศึกษาประวัติศาสตร์
ภายในประเทศอุซเบกิสถานนั้นเองอย่าง จตุรัสเรจิสสถาน ( Registan Square ) เป็นจตุรัสขนาดใหญ่ ที่ล้อมไปด้วยสิ่งก่อสร้าง 3 อย่างได้แก่ ศาสนสถานมัสยิด , คาน ( Kan เป็นที่พักคืนสำหรับคาราวาน) , มัดรอซะ ( โรงเรียนสอนศาสนา ) มีความโดดเด่นด้วยลายกระเบื้องโมเสค ที่มีความละเอียดจากการก่อสร้าง
นับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เมืองแห่งนี้ มีความน่าสนใจนั้นเอง บรรดาโลงศพของชนชั้นสูง ถูกเก็บเอาไว้ที่นี้มากมายและมีการประดับ ตบแต่งจากสิ่งก่อสร้างเพื่อรำลึกอย่างสมพระเกียรติ ในบริเวณอาราม แห่งนี้นั้นเอง เราไปกันต่อที่ สุสานหลวงอาร์มีร์ ติมูร์ ( Gur – e – Amir Musoleum ) เป็นสถานที่บรรจุศพของข่าน
ผู้ปกครองจักรวรรดิติมูร์ในอดีต ที่มีการแกะสลักข้อความเอาไว้ บนโลงศพของอาร์มี ติมูร์ ว่า “เมื่อข้าได้ฟื้นจากความตายอีกครั้ง โลกจะต้องลุกเป็นไฟ” และอีกหนึ่งข้อความว่า “ถ้าหากใครมาเปิดสุสานของข้า มันจะต้องพบกับการรุกรานครั้งยิ่งใหญ่ และน่ากลัวโหดร้ายกว่าข้ามากนัก” ด้วยคำสาปนี้เอง ผู้นำอย่าง โจเซฟ สตาลิน
ได้สั่งให้ทำการเปิดโลงศพ จากนั้นไม่นานกองทัพนาซี ได้บุกโจมตีอย่างรวดเร็ว ทำให้สหภาพโซเวียตไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้สร้างความสูญเสีย เป็นล้านคนเลยทีเดียว นับว่าเป็นตำนานของการเปิดโลงศพแห่งนี้ โลงศพรวมทั้งสถาปัตยกรรมภายใน ถูกสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมด เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ของปะเทศเลยทีเดียว
สถานที่สุดท้ายคือ เมืองบูคารา ( Bukhara ) เป็นเมืองโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย ในอดีตเป็นจุดพักคาราวาน สินค้าบนเส้นทางสายไหม ที่มาจากประเทศจีนและเดินทาง ผ่านเอเชียกลางมายังที่นี้ เมืองแห่งนี้จึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะด้วยความคลาสสิคที่นี้ ทำให้เมืองแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
ที่ทำให้เราเห็นวิถีชีวิตของผู้คน ราวกับอยู่ในอดีตกาลนั้นเอง ด้วยสถาปัตยกรรมของเมืองนี้ ทำให้ที่แห่งนี้เป็นอีกไฮไลท์หนึ่ง ของการท่องเที่ยวในประเทศอุซเบกิสถานนั้นเอง สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศนี้ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังคงมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ จะทำให้คุณไม่ลืมการเดินทางในครั้งนี้นั้นเอง
ปัจจุบันอุซเบกิสถานเป็นอย่างไร?
อุซเบกิสถานเป็นประเทศส่งออกขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกลุ่มประเทศที่ได้รับอิสระ จากสหภาพโซเวียตเลยทีเดียว ด้วยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็น สินต้าทางการเกษตร จากการทำการเกษตกรรมทางตอน ที่ราบลุ่มภาคกลางและภาคใต้ นอกจากนี้ยังส่งออกทองคำ ยูเรเนี่ยม และแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นสายพานในการผลิตนั้นเอง ทั้งนี้ยังมีการท่องเที่ยว อันเป็นตัวช่วยหนึ่งในเศรษฐกิจ ภายในประเทศทำให้มาอย่างยาวนานนั้นเอง
สรุปการท่องเที่ยวอุซเบกิสถานเป็นอย่างไร?
นับว่าเป็นประเทศที่มีศิลปวัฒนธรรม ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ที่มีการรวมเข้ากันของสองวัฒนธรรม ระหว่างโลกของมุสลิมและเอเชียตะวันออก ที่มีอารยธรรมมาหลายพันปีนั้นเอง จากเส้นทางสายไหมทีเก่าแก่ อันเป็นเส้นทางการค้าที่เชื่อมกัน ระหว่างเอเชียและยุโรปนั้นเอง จึงทำให้ที่แห่งนี้แฝงไปด้วยวัฒนธรรม
ของสองฝั่งซีกโลกมาบรรจบกันนั้นเอง สังเกตได้จากลักษณะการกิน เหมือนกับคนเอเชียที่นิยม บริโภคข้าวและเส้นมะหมี่ ข้าวผัด Plov นับว่าเป็นอาหารประจำชาติเลยทีเดียว นอกจากนี้เชื้อชาติของคนที่นี้ มีความหลากหลายผสมผสานกัน โดยส่วนใหญ่นั้นจะมีรูปลักษณ์คล้ายกับ คนรัสเซียและเอนไปทางเอเชียกลาง
จนบ้างทีทำเอาเราสับสนได้นั้นเอง หากใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒธรรม จะต้องหลงรักประเทศแห่งนี้อย่างแน่นอน จึงทำให้มองว่า อุซเบกิสถาน เป็นประเทศที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีอารยธรรมเก่าแก่ อันเป็นรากฐานของสังคมในประเทศแห่งนี้ โดยมีการผสมผสานกัน ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยการปกครอง ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนวิถีชีวิต ของผู้คนอุซเบกิสถานนั้นเอง นับว่าเป็นประเทศที่ มีความน่าสนใจทางด้าน การศึกษาวัฒนธรรมอีกมุมหนึ่ง ทางเอเชียกลางนั้นเอง